วันพุธ, 12 พฤศจิกายน 2568

บุกรวบจีนเทาหลังร่วมมือแฮกเกอร์ ส่ง SMS แนบลิงก์ปลอมหลอกเอาข้อมูลบัตรเครดิต


บุกรวบจีนเทาหลังร่วมมือแฮกเกอร์ ส่ง SMS แนบลิงก์ปลอมหลอกเอาข้อมูลบัตรเครดิต และ OTP ไปรูดซื้อสินค้าในไทย

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี, พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ
รองผบก.ปอท., พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผกก.3 บก.ปอท., พ.ต.ท.สัญญา นิลนพคุณ, พ.ต.ท.เสริมศักดิ์ น้อยหัวหาด, พ.ต.ท.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล รอง ผกก.3 บก.ปอท.
เจ้าพนักงานตำรวจ กก.3 บก.ปอท. นำโดย พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ พุ่มพวง, พ.ต.ท.ชัยณรงค์ จอมเล็ก, พ.ต.ท.หญิง ภาพิมล ชัยขันธ์ สว.กก.3 บก.ปอท., ร.ต.อ.นนทนันท์ นวนงาม, ว่าที่ ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ เศรษฐอัครเบญจา รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท., ด.ต.พีระวุฒิ สนธิสำราญ, จ.ส.ต.กุลชาติ พลับสอาด, จ.ส.ต.วีรศักดิ์ บุญยก ผบ.หมู่ ช่วยราชการฯ กก.3 บก.ปอท.
ร่วมกันจับกุม นายหม่าฯ (Mr.MA) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3906/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น
โดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด, เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
สถานที่จับกุม บริเวณห้องพัก ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซอยสุดประเสริฐ 2 ถนนสุทธิสารวินิจฉัย แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากฝ่ายกฎหมายของธนาคารแห่งหนึ่ง ว่ามีคนร้ายส่ง SMS แนบลิงก์ไปยังผู้เสียหาย และเมื่อผู้เสียหายกรอกข้อมูลบัตรเครดิต และ otp จากนั้น พบว่ามีคนร้ายนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้ชำระเงินค่าสินค้า ผ่าน Google Pay ที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนและพิสูจน์ทราบบุคคล พบว่าผู้ที่ทำรายการคือ นายหม่าฯ (Mr.MA) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน และพักอาศัยอยู่ที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านสุทธิสาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับ และเข้าจับกุมตัว นายหม่าฯ (MR.MA) ได้ที่ห้องพักในโรงแรมดังกล่าว พร้อมของกลาง ได้แก่ เครื่อง EDC หรือเครื่องสำหรับรับชำระเงินด้วยบัตร จำนวน 2 เครื่อง, เครื่องอ่านบัตร จำนวน 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง, บัตร ATM ธนาคารต่างชาติ จำนวน 17 ใบ, บัตร PVC เปล่า จำนวน 11 ใบ และ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 1 เครื่อง และควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
​จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องหามีการติดต่อกับแฮกเกอร์ ผ่านช่องทาง Telegram โดยมีการส่งข้อมูลบัตรเครดิตต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ จำนวนมาก และนายหม่าฯ จะทำหน้าที่ในการนำข้อมูลบัตรเครดิต ที่ได้ ไปรูดซื้อสินค้าต่างๆ จากร้านค้าตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพมหานคร และนำสินค้าไปจำหน่ายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด จากนั้นจะแลกเงินที่ได้เป็นคริปโทเคอเรนซี่ สกุล USDT และโอนส่วนแบ่งค่าข้อมูลในกับแฮกเกอร์ ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป
สอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย ควรระมัดระวัง SMS ที่ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลบัตรเครดิต เนื่องจากอาจถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ได้ โดยควรตรวจสอบกับเว็บไซต์ที่เป็นทางการของผู้ให้บริการและติดต่อสอบถามผู้ให้บริการโดยตรง
การนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไปใช้โดยมิชอบ เป็นความผิดทั้งทางอาญาและแพ่ง ผู้กระทำความผิด อาจถูกดำเนินคดีทั้งจำคุกและปรับ รวมถึงต้อง ชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของบัตร ด้วย หากคุณตกเป็นเหยื่อ ควรแจ้งธนาคารผู้ออกบัตรทันที และเข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ พุ่มพวง สว.กก.3 บก.ปอท. โทร. 090-9855532

“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”